Filler Fatigue คืออะไร ต่างจาก Filler Overfill อย่างไร

บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาวะ Filler Fatigue ว่าเกิดจากอะไร และป้องกันได้อย่างไร

ฟิลเลอร์หน้าล้น (Filler Overfill) และฟิลเลอร์หน้าล้า (Filler Fatigue) เป็น 2 ภาวะที่มีความแตกต่างกัน แต่ล้วนเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์มากเกินความพอดี จึงส่งผลให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ และต้องได้รับการแก้ไข บทความนี้จึงอยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ 2 ภาวะนี้ ว่าเกิดจากอะไร และสามารถป้องกันอย่างไรบ้าง

ฟิลเลอร์หน้าล้น หรือ Filler Overfill  

ภาวะฟิลเลอร์หน้าล้น หรือที่บางคนเรียกว่า Pillow Face หรือ Facial Overfilled Syndrome คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในระยะสั้น หลังจากการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณมากเกินไป ทำให้ใบหน้าดูบวม พอง จนสูญเสียสัดส่วนและความเป็นธรรมชาติของใบหน้า

สาเหตุหลัก

  • ขาดการประเมินอย่างแม่นยำจากแพทย์ผู้ฉีด
  • แผนการรักษาที่เร่งรัด หรือฉีดมากเกินไปในครั้งเดียว
  • ความต้องการของคนไข้ที่อยากเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและรวดเร็ว
Cosmetologist,Does,Injections,For,Lips,Augmentation,And,Anti,Wrinkle,In

ฟิลเลอร์หน้าล้า หรือ Filler Fatigue

ภาวะฟิลเลอร์หน้าล้า (Filler  Fatigue)  เป็นผลระยะยาวจากการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ซ้ำบ่อยเกินไปในช่วงเวลาหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งเป็นวงจรที่ต้องเติมสารเติมเต็ม (Filler) เพิ่มเรื่อย ๆ เพื่อคงรูปลักษณ์เดิมไว้ จนจนเนื้อเยื่อโครงสร้างถูกยืด ทำให้ผิวและเนื้อเยื่อหย่อน หรือยืดออกอย่างช้า ๆ ใบหน้าจึงดูหนา หนัก หรือบวม เมื่อฟิลเลอร์เริ่มสลาย ผิวอาจหย่อนคล้อย เนื่องจากถูกยืดเป็นเวลานาน

สาเหตุหลัก

  • การสะสมของสารเติมเต็ม (Filler) ที่สลายไม่หมดในแต่ละครั้ง
  • “Perception drift” หรือการรับรู้ภาพลักษณ์ของตนเองที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จนลืมรูปลักษณ์ธรรมชาติก่อนฉีด
  • เนื้อเยื่อและผิวหนังอ่อนแอลงจากการถูกยืดตลอดเวลา

สรุป

  • Filler Overfill คือ ภาวะเฉียบพลันจากการฉีดมากเกินไปในครั้งเดียว
  • Filler Fatigue คือ ภาวะเรื้อรังจากการฉีดซ้ำสะสมในระยะยาว

โดยทั้ง 2 ภาวะทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ และมักต้องแก้ไข เพื่อคืนความสมดุลและโครงสร้างธรรมชาติของใบหน้า

วิธีป้องกันภาวะ Filler Fatigue

  • เลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ : การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และเข้าใจโครงสร้างใบหน้าถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แลดูเป็นธรรมชาติ
  • วางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล : เพราะแต่ละคนมีโครงสร้างใบหน้าและปัญหาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีต้องเริ่มต้นจากการวินิจฉัย และออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล 
  • ฉีดในปริมาณที่พอดี : ไม่ควรฉีดในปริมาณเยอะในครั้งเดียว แต่ควรยึดหลัก “Less is more” ค่อย ๆ เติมทีละนิด เพื่อรอดูผลลัพธ์ก่อน
  • เว้นระยะเวลาระหว่างการรักษา : ก่อนจะเติมครั้งต่อไป ควรให้เวลาฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปได้ปรับตัว และผสานกับเนื้อเยื่อก่อน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการสะสมของฟิลเลอร์เกินจำเป็น

อัฐฐาคลินิก 4

SFIL PROGRAM โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบสแกนเห็น เทคนิคคุณหมอสร้อย

การวินิจฉัยและออกแบบการรักษาในการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะ Filler Fatigue หรือใบหน้าอ่อนล้าจากฟิลเลอร์ ซึ่งอัฐฐา คลินิก (ATTA Clinic) ที่ดูแลโดย พญ. อทิตา อินทร์วงศ์ หรือคุณหมอสร้อย (ว.44231) ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางรังสีวินิจฉัย ได้นำการอัลตราซาวนด์เข้ามาร่วมในการทำโปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แบบสแกนเห็น หรือ SFIL Program


โปรแกรม SFIL มาจากคำว่า SCAN-FILL-LIFT เทคนิคเฉพาะของอัฐฐา คลินิก (ATTA Clinic)

  • SCAN : สแกนด้วยอัลตราซาวนด์ใบหน้า (Facial Ultrasound) เพื่อวางฟิลเลอร์อย่างแม่นยำ หลีกเลี่ยงเส้นเลือด และปรับตามโครงสร้างเฉพาะบุคคล
  • FILL : เติมฟิลเลอร์ทดแทนกระดูกทรุด ยกพยุงเส้นเอ็นที่หย่อน ให้หน้าที่หย่อนคล้อยดูยกกระชับ และอ่อนเยาว์
  • LIFT : ยกโครงหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นเติมถมร่อง คืนความสดใสแลดูอ่อนเยาว์

โดย SFIL Program ยังสามารถช่วยในการตรวจสอบตำแหน่งของฟิลเลอร์ที่ฉีดไปแล้ว ทำให้การเติมฟิลเลอร์ใหม่ สามารถหลีกเลี่ยงฟิลเลอร์เดิมที่ยังเหลืออยู่ เพื่อให้ใบหน้ามีปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่มากเกินไป ป้องกันการเกิดภาวะ Filler Fatigue หรือใบหน้าอ่อนล้าจากฟิลเลอร์อีกด้วย

Picture of ATTA Clinic's Content Team

ATTA Clinic's Content Team

ATTA Clinic's content team นักเขียนที่หลงใหลในศาสตร์ความงาม ผู้ซึ่งเชื่อว่าทุกใบหน้าล้วนมีเอกลักษณ์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์บทความความงาม ที่ถูกต้อง เข้าใจง่าย และทันสมัย โดยทำงานใกล้ชิดกับคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

บทความที่เกี่ยวข้อง