Anti-Wrinkle Program
โปรแกรมแก้ไขปัญหาริ้วรอย
Bo Lifting Program โปรแกรมแก้ไขริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า | Biostimulator Program โปรแกรมแก้ไขปัญหาผิวเสื่อมสภาพตามวัย
ริ้วรอยบนผิวหน้า เกิดจากหลายสาเหตุหลัก ๆ ที่ส่งผลให้ผิวสูญเสียความเรียบเนียนและยืดหยุ่น ซึ่งการดูแลผิวหน้าและลดริ้วรอย มีคำศัพท์สำคัญอยู่สองคำที่มักพบได้บ่อย คือ ริ้วรอยจากการสแดงสีหน้า (Expression Lines) และ ริ้วรอยลึกถาวร (Static Lines) ซึ่งสองคำนี้หมายถึงประเภทของริ้วรอยที่แตกต่างกัน เพราะเกิดจากสาเหตุที่ไม่เหมือนกัน
ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (Expression Lines)
ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้า คือ รอยย่นที่เกิดขึ้นบนผิวหนังเมื่อคุณแสดงอารมณ์ต่าง ๆ บนใบหน้า ซึ่งในวัยเด็ก ริ้วรอยเหล่านี้จะหายไปเองเมื่อใบหน้าของคุณกลับสู่ท่าเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ริ้วรอยเหล่านี้จะเริ่มมีเพิ่มมากขึ้น และหากปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นริ้วรอยถาวร (Static Lines) ที่รักษาได้ยากขึ้น
โดยริ้วรอยประเภทนี้เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ เมื่อเรายิ้ม หรี่ตา หรือขมวดคิ้ว กล้ามเนื้อจะดึงผิวหนังให้เกิดรอยยับ เช่น รอยรอบดวงตา รอยขมวดคิ้ว และรอยบนหน้าผาก
สำหรับการแก้ไข Expression Lines รักษาโดยใช้การฉีดสารลดริ้วรอย หรือฉีดโบ ซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยแลดูจางลง

ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าที่พบบ่อยที่สุด เช่น
- ริ้วรอยตีนกา คือ ริ้วรอยขนาดเล็กที่เกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตา โดยเฉพาะเวลาที่เรายิ้มหรือหัวเราะ
- ริ้วรอยระหว่างคิ้ว โดยทั่วไปริ้วรอยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นเส้นบาง ๆ จำนวนสองเส้นในแนวตั้ง จึงเป็นสาเหตุที่บางครั้งมักเรียกริ้วรอยเหล่านี้ว่า “เลข 11” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับเลข 11
- ริ้วรอยหน้าผาก คือ ริ้วรอยหรือรอยย่นที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าผาก มักจะปรากฏเป็นเส้นแนวนอน เนื่องจากเกิดจากการขยับกล้ามเนื้อหน้าผากเวลายกคิ้วหรือแสดงอารมณ์อื่น
- ริ้วรอยบนริมฝีปาก หรือที่บางครั้งเรียกว่าริ้วรอยจากการสูบบุหรี่ คือ ริ้วรอยเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นเหนือริมฝีปากบน โดยริ้วรอยนี้จะวิ่งขึ้นในแนวตั้งจากริมฝีปากของคุณขึ้นไปจนถึงจมูก
ริ้วรอยลึกถาวร (Static Lines)
ริ้วรอยลึกถาวร เกิดจากความเสื่อมของผิวตามอายุ สูญเสียความยืดหยุ่นและคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยคงอยู่บนผิวแม้ในขณะที่ไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อ โดยทั่วไป ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (Expression Line) อาจพัฒนาไปเป็นริ้วรอยลึกถาวร (Static Line) ได้ หากเกิดการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ บ่อยครั้งและผิวมีการเสื่อมสภาพตามอายุ
ทั้งนี้ เมื่อเกิดริ้วรอยลึกถาวรแล้ว จะรักษาได้ยากกว่าริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ซึ่งอาจต้องใช้เครื่องเลเซอร์, การฉีดสารซ่อมแซมผิวเสื่อมสภาพตามวัย ร่วมกับการฉีดโบด้วย และต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ริ้วรอยจึงจะดูจางลง
ดังนั้น การป้องกันไม่ให้ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า พัฒนากลายไปเป็นริ้วรอยลึกถาวรจึงสำคัญมาก และทำได้ง่ายกว่า คือการฉีดโบ เพื่อคลายริ้วรอยนั่นเอง

ฉีดโบลดริ้วรอยทำงานอย่างไร?
การฉีดโบ เป็นวิธีหนึ่งในวงการเสริมความงามที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า ที่ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับอย่างเห็นผล แบบไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งตัวยาจะออกฤทธิ์โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อในจุดที่มีริ้วรอย ทำให้ผิวหน้าดูสดใสแลดูอ่อนวัย
โบคือยาที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยลดลง มีหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งสารนี้จะออกฤทธิ์ที่ชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว เมื่อกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ผิวหนังคลายตัว ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากการพับของผิวจึงลดลง ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
โดยเมื่อเราแสดงสีหน้าหรือขยับกล้ามเนื้อ บริเวณที่ฉีดโบผิวจะไม่พับตัวตามการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น รอยขมวดคิ้ว รอยตีนกา ริ้วรอยร่องแก้ม ซึ่งมักเป็นริ้วรอยตื้น ๆ อย่างไรก็ดี สำหรับริ้วรอยลึก ๆ ที่เกิดจากปัญหาโครงสร้างชั้นอื่นของผิวร่วมด้วย การฉีดโบเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
Bo Lifting Program โปรแกรมฉีดโบ เทคนิคเฉพาะที่อัฐฐา คลินิก
โปรแกรมฉีดโบ “Bo Lifting Program” วิเคราะห์กล้ามเนื้อใบหน้าเฉพาะบุคคล เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหน้าลง และคลายริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เนื่องจากกล้ามเนื้อใบหน้ามีการทำงานที่สัมพันธ์กันเหมือนกับไม้กระดก หมายความว่ากล้ามเนื้อบางส่วนจะทำงานต้านกัน เพื่อสร้างสมดุลให้กับการแสดงสีหน้าอารมณ์และการเคลื่อนไหวบนใบหน้า เมื่อกล้ามเนื้อกลุ่มหนึ่งทำงาน กล้ามเนื้ออีกกลุ่มหนึ่งก็จะผ่อนคลายไปพร้อมกัน ทำให้ใบหน้าแสดงอารมณ์ได้อย่างสมดุล
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis) ยกคิ้วขึ้น กล้ามเนื้อที่ดึงคิ้วลง (เช่น Procerus หรือ Orbicularis Oculi) จะคลายตัวลง ซึ่งเป็นการทำงานที่สมดุล ทำให้ลดริ้วรอย แต่หากการฉีดโบส่งผลต่อกล้ามเนื้อบางส่วนมากเกินไป เช่น กล้ามเนื้อที่ช่วยยกคิ้วถูกยับยั้งจนเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงคิ้วลงมีแรงดึงที่เหนือกว่า ส่งผลให้คิ้วตกและเปลือกตาตกได้
โดยการฉีด Bo Lifting จะทำโดยการฉีดโบในบริเวณกล้ามเนื้อที่ดึงผิวหนังลง เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ส่งผลให้ผิวดูยกขึ้นและตึงกระชับขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่มีการหย่อนคล้อย เช่น แนวกรอบหน้า แก้ม และลำคอ เทคนิคนี้ยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูเรียวสวยขึ้นได้อีกด้วย

บริเวณที่ฉีดเพื่อการยกกระชับใบหน้า
- กรอบหน้า (Jawline) เพื่อยกกระชับกรอบหน้า และทำให้ใบหน้าดูมีมิติและเรียวขึ้น
- แนวคอ (Neck Lift) เพื่อยกกระชับบริเวณลำคอ ลดการหย่อนคล้อยของผิวบริเวณคอ
- หางคิ้ว (Brow Lift) เพื่อยกกระชับให้คิ้วยกขึ้น ทำให้ดวงตาดูสดใส และช่วยยกกระชับบริเวณหางคิ้ว
- มุมปาก (Mouth Lift) เพื่อลดการหย่อนคล้อยบริเวณมุมปาก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น
การทำงานที่สัมพันธ์กันของกล้ามเนื้อใบหน้านี้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าการฉีดโบต้องทำโดยแพทย์ที่เข้าใจถึงโครงสร้างและการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าที่มีความซับซ้อน
“การตรวจวินิจฉัยการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าเฉพาะบุคคล เพื่อออกแบบการรักษาให้ออกมาผลลัพธ์ธรรมชาติ เป็นสิ่งสำคัญมากในการรักษาริ้วรอย เมื่อวินิจฉัยถูกจุด จึงรักษาได้อย่างตรงจุด คนไข้จะสามารถแสดงสีหน้ายิ้มหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติ”
พ.ญ. อทิตา อินทร์วงศ์ (คุณหมอสร้อย)
ฉีดโบจุดไหนได้บ้าง
การฉีดโบ นอกจากแก้ไขปัญหาริ้วรอยแล้ว สามารถทำได้หลายจุดบนใบหน้าและร่างกาย ดังนี้
- ริ้วรอยบนใบหน้า (Fine Lines and Wrinkles)
หน้าผาก สำหรับลดริ้วรอยแนวนอนที่เกิดจากการยกคิ้ว - ระหว่างคิ้ว สำหรับลดรอยขมวดคิ้ว (รอย “11”)
- รอบดวงตา สำหรับลดริ้วรอยตีนกา
- รอบริมฝีปาก สำหรับลดรอยเส้นรอบปากที่อาจเกิดจากการยิ้มหรือสูบบุหรี่
- จมูก สำหรับลดรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเวลายิ้มหรือหัวเราะ (เรียกว่า “Bunny lines”)

ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม (Jaw Slimming / Masseter Reduction)
การฉีดโบที่กล้ามเนื้อกรามหรือ Masseter ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่ใช้เคี้ยวอาหาร การฉีดในบริเวณนี้จะช่วยให้กรามเล็กลง ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ลดความหนาของกราม แต่ต้องระวังในบางคนที่หน้าห้อย และกล้ามเนื้อกรามไม่ได้ใหญ่มาก
ลดขนาดต่อมน้ำลาย (Parotid Gland Reduction)
การฉีดบริเวณนี้ เพื่อลดขนาดของต่อมน้ำลาย ซึ่งอาจใช้ในบางกรณีที่มีการขยายตัวของต่อมน้ำลายมากเกินไปจนหน้าดูห้อย
บ่า (Shoulders)
การฉีดโบบริเวณบ่า เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อบริเวณบ่าที่หนาเกินไป ช่วยให้ไหล่ดูเรียวขึ้นและคลายความตึงเครียดในกล้ามเนื้อบ่า (Office syndrome) ได้อีกด้วย
ลดการทำงานของต่อมเหงื่อใต้รักแร้ (Hyperhidrosis Treatment)
การฉีดโบยังสามารถลดการทำงานของต่อมเหงื่อใต้รักแร้ ซึ่งช่วยลดปัญหาการเหงื่อออกมากผิดปกติและกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะเหงื่อออกมาก (Hyperhidrosis)
ลดขนาดรูขุมขน
เป็นเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า “Micro Botox” หรือ “Mesobotox” ซึ่งจะใช้การฉีดโบปริมาณเล็ก ๆ เข้าไปในชั้นผิวหนังตื้น ๆ ซึ่งคือตรงชั้นผิวหนังที่มีต่อมไขมันและรูขุมขน
ช่วยลดขนาดรูขุมขน
โดยการลดการทำงานของต่อมไขมันและกล้ามเนื้อเล็ก ๆ บริเวณผิวหน้า ทำให้รูขุมขนกระชับและแลดูเล็กลง
ลดความมันของผิว
ด้วยการลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและมันน้อยลง
ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
เนื่องจากโบจะช่วยกระชับรูขุมขนและปรับผิวให้เรียบเนียน
ประโยชน์ของการฉีดโบ
- ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นโดยช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า เช่น หน้าผาก หางตา และระหว่างคิ้ว
- ยกกระชับใบหน้า ช่วยปรับโครงหน้าให้ดูมีมิติและยกกระชับขึ้น โดยเฉพาะบริเวณกรามและลำคอ
- ไม่ต้องพักฟื้น การฉีดโบเป็นวิธีที่ปลอดภัยและรวดเร็ว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
- ลดการดึงกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น โดยช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อใบหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
Bo Lifting เหมาะกับใคร?
การทำ Bo Lifting เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย ยกกระชับผิวหน้า และปรับโครงหน้าให้ดูเรียวขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตึงหรือมีอาการกรามหนา เนื่องจากการบดเคี้ยวด้วย

ขั้นตอนการทำ Bo Lifting ลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า
- การประเมินใบหน้า โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาจะทำการประเมินสภาพผิวและกล้ามเนื้อ เพื่อวางแผนการฉีดโบให้เหมาะสม
- การฉีด Bo Lifting โดยใช้เทคนิคเฉพาะในการฉีดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติ
- การดูแลหลังฉีด เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ซับซ้อน เพียงหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าแรง ๆ และงดออกกำลังกายหนักในช่วงแรก
ทำไมต้องเลือก Bo Lifting กับคลินิกที่มีความชำนาญการเฉพาะสาขา?
การฉีด Bo Lifting ต้องอาศัยความชำนาญการเฉพาะสาขาและประสบการณ์ของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัย ดังนั้น การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานทางการแพทย์ และมีแพทย์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน จะช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของการรักษา
Biostimulator Program
โปรแกรมแก้ไขปัญหาผิวเสื่อมสภาพตามวัย
การฉีดสารซ่อมแซมผิวเสื่อมสภาพตามวัย หรือ Biostimulator
ฟื้นฟูผิวอ่อนเยาว์ ปรับผิวให้ดูเรียบเนียนและยืดหยุ่น ช่วยลดริ้วรอย
Biostimulator คือ สารที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อิลาสติน และไฮยาลูโรนิก โดยจะช่วยกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ให้ผลิตโปรตีนที่สำคัญเหล่านี้ ซึ่งส่งผลให้ผิวดูแน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่เริ่มปรากฏ ซึ่งผลลัพธ์ที่ชัดเจนของ Biostimulator จะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน หลังจากการฉีด
ข้อดีของ Biostimulator
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type 1 และ Type 3 ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่พบในชั้นผิวหนัง ช่วยให้ผิวแข็งแรงและอ่อนเยาว์
- กระตุ้นการผลิตอิลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น
- ช่วยกระตุ้น Proteoglycan และ Angiogenesis ซึ่ง Proteoglycan ช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำและเนียนเรียบ ริ้วรอยดูตื้นขึ้น ส่วน Angiogenesis ช่วยสร้างหลอดเลือดใหม่ในผิวหนัง ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีและกระจ่างใส
ฉีด Biostimulator เทคนิคเฉพาะที่ อัฐฐา คลินิก
Biostimulator Program X Facial Ultrasound
การฉีด Biostimulator จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำในการวางตำแหน่งยาเป็นอย่างมาก เนื่องจาก Biostimulator เป็นสารที่ไม่มียาสลาย หากเกิดผลข้างเคียง เช่น เป็นก้อน หรือฉีดผิดตำแหน่ง เช่น ฉีดเข้าไปในเส้นเลือด การแก้ไขอาจทำได้ยาก ดังนั้น การวางยาที่ตำแหน่งที่ถูกต้องในชั้นผิวหนัง (Subdermal) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ Biostimulator สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยคุณหมอสร้อย ได้ใช้เทคนิค Ultrasound ในการช่วยนำทางเข็มและวางยาให้ตรงจุดที่ต้องการ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยและช่วยลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดผิดตำแหน่ง ซึ่งการ Ultrasound จะทำให้แพทย์สามารถเห็นโครงสร้างผิวหนังและเส้นเลือดอย่างชัดเจน ทำให้การฉีด Biostimulator เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

Biostimulator เหมาะกับใคร?
ผิวหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ทำได้หรือไม่?
การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยการฉีด Biostimulator เป็นวิธีการฟื้นฟูและกระตุ้นใต้ชั้นผิวที่ช่วยให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูผิวในระยะยาว โดย Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิว ดังนี้
- ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อยและขาดความกระชับจากการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสตินตามอายุ การฉีด Biostimulator จะช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่นและความแน่นของผิว ทำให้ผิวแลดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์
- มีริ้วรอยแห่งวัย สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยทั้งแบบตื้นและลึก ซึ่งเป็นสัญญาณของวัย เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยรอบปาก หรือริ้วรอยบนหน้าผาก การฉีด Biostimulator จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียนขึ้น พร้อมช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์
- ผิวเสื่อมสภาพและขาดความยืดหยุ่น สำหรับผู้ที่มีผิวเสื่อมสภาพหรือขาดความยืดหยุ่น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป และต้องการป้องกันไม่ให้ผิวเสื่อมสภาพมากยิ่งขึ้น การฉีด Biostimulator จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการคงความอ่อนเยาว์ของผิวในระยะยาวได้
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวจากหัตถการ สำหรับผู้ที่มองหาวิธีการฟื้นฟูผิวที่ให้ผลลัพธ์ยาวนาน การฉีด Biostimulator จะช่วยให้ผิวคงความกระชับและยืดหยุ่นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่ต้องทำหัตถการซ้ำหลายครั้ง
การฉีด Biostimulator เป็นทางเลือกที่ดีในการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ มีความยืดหยุ่น และคงผลลัพธ์ในระยะยาว
ขั้นตอนการทำโปรแกรม Biostimulator ที่ควรรู้
- การปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะสาขาโดยแพทย์จะทำการตรวจสภาพผิวอย่างละเอียด เพื่อเลือกสารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เนื่องจากผิวของแต่ละคนมีลักษณะและความต้องการที่ต่างกัน
- ขั้นตอนการทำโปรแกรม Biostimulator ใช้เข็มทู่เพื่อวางยาสู่ชั้นผิวที่ถูกต้อง และกระจายตัวให้เหมาะสม ซึ่งแพทย์จะฉีดในตำแหน่งที่ต้องการฟื้นฟูและกระชับผิว โดยกระบวนการนี้มักใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที
คำแนะนำการดูแลหลังทำโปรแกรม Biostimulator
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว
โดยในช่วง 12 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมบำรุงผิวต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคือง และลดโอกาสการติดเชื้อที่ผิวหนัง - การนวดเบา ๆ หากมีก้อนใต้ผิวหนัง หากสังเกตพบก้อนใต้ผิวหลังการฉีด สามารถนวดเบา ๆ บริเวณนั้นได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าการนวดเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมช้ำ ในกรณีที่มีอาการบวมช้ำ สามารถประคบเย็นเบา ๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมและลดอาการอักเสบได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการกดที่แรงเกินไป
- เข้าพบแพทย์ตามนัดหมาย ควรพบแพทย์ตามกำหนดนัดหมายเพื่อตรวจประเมินผลการรักษาและรับคำแนะนำเพิ่มเติม หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยใด ๆ สามารถปรึกษาแพทย์ได้ในช่วงการติดตามผล
การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยให้ผลลัพธ์ของการฉีด Biostimulator มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

Biostimulator แต่ละประเภท ต่างกันอย่างไร
Biostimulator แต่ละประเภท มีความแตกต่างกันในด้านส่วนประกอบ คุณสมบัติ และการแก้ไขปัญหาผิว ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสภาพผิวและบริเวณที่ต้องการรักษา มาดูรายละเอียดและการเปรียบเทียบของแต่ละประเภทกัน
Aesthefill
ส่วนประกอบหลัก คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Carboxymethyl Cellulose (CMC)
คุณสมบัติของ Aesthefill สามารถละลายน้ำได้ง่าย ทำให้ฉีดเข้าสู่ผิวได้สะดวก โดยเป็น Biostimulator ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในปริมาณที่น้อย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่กระชับและเรียบเนียนอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้ช่วยในเรื่องการทำให้ผิวอิ่มฟูมากนัก
Lenisna
ส่วนประกอบหลัก คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Hyaluronic Acid (HA)
คุณสมบัติของ Lenisna ช่วยในเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระดับปานกลาง แต่ยังมี HA ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งการยกกระชับและการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
Juvelook
ส่วนประกอบหลัก คือ PDLLA (Poly-d,l-lactic acid) และ Hyaluronic Acid (HA)
คุณสมบัติของ Juvelook ช่วยในเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เล็กน้อย เนื่องจากมีอนุภาคของ PDLLA เจือจางกว่าตัวอื่น ๆ เหมาะสำหรับการฉีดในบริเวณผิวที่บอบบาง เช่น บริเวณรอบดวงตา จึงไม่ทำให้ผิวดูหนาหรือเป็นก้อน
Sculptra
ส่วนประกอบหลัก คือ PLLA (Poly-L-lactic acid)
คุณสมบัติของ Sculptra เป็น Biostimulator ที่ใช้ PLLA ซึ่งมีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว แต่การฉีดจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคที่แม่นยำและแพทย์ที่มีความชำนาญ โดยหฉีดลังการผลลัพธ์จะค่อย ๆ เห็นชัดเจนขึ้นและอยู่ได้เป็นเวลานาน
UltraCol
ส่วนประกอบหลัก คือ Collagen Biostimulator
คุณสมบัติของ UltraCol ช่วยเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวระดับกลาง ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ และอิ่มฟู แลดูอ่อนเยาว์ ซึ่งสามารถให้ผลยาวนานได้ถึง 1-2 ปี
Radiesse
ส่วนประกอบหลัก คือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
คุณสมบัติของ Radiesse มีส่วนประกอบของสาร CaHA ซึ่งนอกจากจะช่วยเติมเต็มร่องลึกแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นลึกของผิว ทำให้ผิวกระชับ ซึ่งผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน
ทั้งนี้ การเลือก Biostimulator ที่เหมาะสมควรคำนึงถึงปัญหาผิวและบริเวณที่ต้องการรักษา ดังนั้น การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและมีความปลอดภัยด้วย
Biostimulator, Ulthera และ Thermage เลือกอะไรดีสำหรับการยกกระชับและการสร้างคอลลาเจน?
โดย Biostimulator, Ulthera และ Thermage เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม แต่ละวิธีมีความเหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้
Biostimulator
วิธีการทำงาน : เป็นการฉีดสารเข้าไปใต้ผิว เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นตื้นและชั้นกลาง จึงสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวชั้นบนและผิวตื้น ๆ ดูแน่นกระชับขึ้น
เหมาะกับใคร : วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในชั้นตื้น ที่ต้องการฟื้นฟูคอลลาเจนให้ผิวดูอิ่มฟู และต้องการความยืดหยุ่นของผิวในระยะยาว โดย Biostimulator ยังเหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยบาง ๆ และผู้ที่ต้องการการบำรุงและปรับสภาพผิวจากภายในด้วย
ข้อดี : วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวให้ดูแน่นกระชับ ซึ่งผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 2 ปี
Thermage
วิธีการทำงาน : Thermage ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเดิม และกระชับผิวถึงชั้นไขมัน เหมาะกับการยกกระชับผิวชั้นตื้นและชั้นกลาง
เหมาะกับใคร : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระชับผิวโดยเฉพาะชั้นไขมันร่วมด้วย บริเวณใบหน้า คอ หรือรอบดวงตา
ข้อดี : สามารถเห็นผลทันทีหลังทำเพราะคอลลาเจนเดิมหดตัว โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ประมาณ 1 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลรักษา
Ulthera
วิธีการทำงาน : Ulthera ใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูง (Ultrasound) ในการยกกระชับผิว โดยมุ่งเน้นการทำงานที่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ Ulthera มีความสามารถในการยกกระชับผิวที่ลึกกว่าทั้ง Biostimulator และ Thermage
เหมาะกับใคร: ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวในชั้นลึก เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก โดย Ulthera สามารถใช้กับบริเวณแก้ม กรอบหน้า และคอ เพื่อช่วยยกกระชับให้ใบหน้าและผิวแลดูอ่อนเยาว์
ข้อดี : ผลลัพธ์การยกกระชับที่ชั้น SMAS มีความยาวนาน และเห็นการยกกระชับชัดเจน ซึ่งสามารถอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน

สรุประหว่าง Biostimulator, Ulthera หรือ Thermage เลือกแบบไหนดี?
- Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิวชั้นตื้น ช่วยให้ผิวดูแน่นกระชับ สามารถลดริ้วรอยบางๆได้
- Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่มีคอลลาเจนเดิมค่อนข้างมาก และต้องการทำให้คอลลาเจนเดิมหดตัว เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนและยกกระชับในผิวชั้นตื้นและผิวชั้นกลาง
- Ulthera เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวในระดับชั้นลึก โดยเฉพาะในชั้น SMAS ทำให้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย
ทั้งนี้ การเลือกวิธีการที่เหมาะสม จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์และแก้ปัญหาผิวที่ตรงกับความต้องการได้
โดยสรุป การรักษาริ้วรอย ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อรักษาได้ตรงกับปัญหา ถ้าเป็นการแก้ไขริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า คือ Bo Lifting Program แต่ถ้าริ้วรอยลึกถาวร อาจต้องใช้หลายๆโปรแกรมร่วมกันในการรักษา เช่น Biostimulator Program โปรแกรมแก้ไขปัญหาผิวเสื่อมสภาพตามวัย Bo Lifting Program ร่วมกับหัตถการอื่นๆอีก
โปรแกรมแนะนำ
รีวิวจากผู้เข้ารับบริการ



